จิตเป็นอิสระโดยพระกรรมฐาน (ตอนที่ ๒)

ส่งศรี รุ่งถาวรวงศ์

ที่มา : หนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ พระธรรมสิงหบุราจารย์ เล่มที่ ๒๕ หน้า ๑๑๙ – ๑๒๖

ข้าพเจ้าจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เมื่ออายุ ๑๙ ปี ฐานะทางบ้านไม่ค่อยดีจึงไม่ได้เรียนต่อ ต้องออกมาเข็นรถขายของ เพื่อน ๆ ได้เรียนกันหมด ข้าพเจ้าจึงไม่มีเงินเรียนทางโลกเหมือนเพื่อน จึงขอเรียนวิชากรรมฐานที่หลวงพ่อสอนตอนนี้ให้ถึงที่สุด

ข้าพเจ้ามีความทุกข์มากทั้งกายและใจ เกี่ยวกับฐานะการเงินของครอบครัว จากการได้ฟังหลวงพ่อเทศน์ ข้าพเจ้าตั้งใจเป็นคนดี กตัญญูกตเวฑิตาต่อพ่อแม่ และยอมชดใช้กรรม พร้อมกับรีบเร่งทำความดีในทาน ศีล และภาวนา โดยไม่หยุดหย่อน

ข้าพเจ้าตั้งใจทำกรรมฐาน ๒ อย่าง คือ

ตั้งใจแน่วแน่ที่จะเรียนเวทนาให้จบลงให้ได้ก่อนตาย เพราะหลวงพ่อสอนว่า เวทนาเป็นครูใหญ่ ครูไม่มาสอน จะรู้วิชาได้อย่างไร

ตั้งใจจะเดินไปให้ถึงที่สุดของการพ้นทุกข์ให้ได้ เพราะตอนเป็นเด็กข้าพเจ้าถามตัวเองเสมอว่า เราจะออกจากทุกข์ได้อย่างไร หลวงพ่อก็สอนในกรรมฐานว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีอะไรเกิดขึ้นได้กำหนดมีสติ แล้วราคะ โทสะ โมหะ จะเกิดขึ้นไม่ได้ ข้าพเจ้าเดินทางแล้วว่า เราจะพ้นทุกข์ได้เพราะการกำหนดสติทุกขณะจิตนั่นเอง

ช่วงแรกของการไปปฏิบัติธรรม (ปี พ.ศ.๒๕๓๗ เป็นต้นมา) ข้าพเจ้าไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร สมาธิคืออะไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าหลวงพ่อสอนอะไร ก็ทำตามหลวงพ่อสอนทุกอย่าง ทำกรรมฐานไได้ระยะหนึ่ง ก้เห็น รูป-นาม เกิด-ดับ ในเวทนาที่สาหัส จึงพอเห็นแล้วว่า มีสิ่งเกิดและดับเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ การใช้ชีวิตประจำวันก็เริ่มรู้ตัวในอายตนะทั้ง ๖ เป็นบางขณะ แต่ก็เหมือนสติตามจิตไม่ทัน จิตทุกข์หนักเป็นบางขณะ เป็นแบบนี้อยู่หลายเดือน ข้าพเจ้าพยายามหาทางแก้ไขจิตทีุ่กข์หนักนี้

ข้าพเจ้าเป็นคนโชคดีในทางธรรมพอสมควร ประกอบกับตั้งใจจริงที่จะพัฒนาการปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้า เพราะได้ปฏิบัติหลายวาระ

ได้รับการสอบอารมณ์หลายครั้งจากพระอาจารย์หลายรูป ในโครงการปฏิบัติธรรมของวัดอัมพวัน

ขณะที่เป็นพี่เลี้ยงในโครงการเข็มเหล็กที่สวนเวฬุวัน ขอนแก่น ได้สอบถามการปฏิบัติธรรม เพื่อจะเพิ่มความเพียรมากยิ่งขึ้น จากพระอาจารย์

ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมถ้ำพระผางาม เชียงราย ได้ถวายสอบถามข้อธรรมการปฏิบัติจากหลวงพ่อทองสุข ฐิตสโล เพื่อเพิ่มวิริยะในการปฏิบัติ

ฝึกอิริยาบถย่อย ๒๔ ชั่วโมง เป็นเวลา ๓๐ วัน ที่พุทธวิหาร (วัดพระธรรมจักรเฉลิมพระเกียรติ) ต.ดงละคร นครนายก

ทุกที่ที่ไปปฏิบัติ ต้องเป็นเรื่องเดียวกันกับที่หลวงพ่อท่านสอนในการกำหนด พองหนอ-ยุบหนอ ข้าพเจ้ายึดหลักของหลวงพ่อเพียงอย่างเดียวตลอดมา ข้าพเจ้าได้ศึกษาประวัติหลวงพ่อว่า ท่านไปอยู่ปฏิบัติกับหลวงพ่อดำในป่าถึง ๑ ปีเต็ม ก็เกิดปัญญาว่า ตัวข้าพเจ้าเองจะก้าวหน้าในกรรมฐานอย่างจริงจังก็ต้องเพิ่มเวลาการปฏิบัติให้มากขึ้นกว่านี้

ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อวัดป่าเจริญราชธรรมาราม ที่ท่านทราบว่าข้าพเจ้าปฏิบัติเองคนเดียวก็อนุญาตให้ข้าพเจ้าเข้าไปสอบอารมณ์กรรมฐานได้บ่อย ๆ จะได้ไม่เสียเวลาและหลงอารมณ์ในการปฏิบัติ ผลของการเพียรเป็นเวลา ๔ ปี ทำให้

๑. สติสัมปชัญญะ สมาธิ ปัญญา วิริยะ ดีขึ้นมาก

๒ สติตามจิตทันมากขึ้น จิตที่รู้สึกทุกข์ และหนัก ๆ หายไปมาก

๓. ได้ใช้กรรมในเวทนา ๑๔ วันเต็ม ที่ศอก หัวไหล่ สะบักหลัก และแขนข้างซ้าย หายปวดเป็นปลิดทิ้ง

๔. จิตมีกำลังดีพอสมควร ประกอบกับมีอิริยาบถย่อย ๒๔ ชั่วโมง

วันหนึ่ง… ขณะที่กำหนดอิริยาบถย่อยอยู่ ได้เปิดธรรมะฟังไปด้วย เนื้อหาในธรรมะนั้นท่านกล่าวว่า “รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ มีอยู่เป็นอยู่ตามธรรมชาติ เป็นกลาง ๆ เป็นเพียงเครื่องระลึกของสติเท่านั้นเอง” ข้าพเจ้ากำหนดอิริยาบถย่อยอยู่ ก็เป็นเพียงเครื่องระลึกของสติเท่านั้นเอง ใจเป็นกลางมาก พอหลับตาลงก็เข้าสมาธิได้เลย นิ่งมาก ใจหวิว ๆ ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน และใจก็ยังหวิว ๆ อยู่ ๒ วันเต็ม ไม่ว่าจะเดิน จะยืน จะนั่ง ข้าพเจ้าลองหลับตาดู ขณะใจหวิว ๆ น้้น ก็เข้าสมาธิได้ทุกครั้งที่หลับตาลง จนถึงปัจจุบันนี้ ก็เป็นแบบนั้น แต่ใจหวิว ๆ หายไปแล้ว

.……โปรดติดตามตอนที่ ๓